ประเทศไทยของเรานั้นเปี่ยมล้นด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาอันลึกซึ้งและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น จนได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage หรือ ICH) ของประเทศไทยแล้วถึง 5 รายการด้วยกัน ซึ่งแต่ละรายการล้วนมีความสำคัญและสะท้อนรากเหง้าความเป็นไทยได้อย่างแท้จริง
1. โขน: ศิลปะการแสดงชั้นสูงอันทรงคุณค่า
โขนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติรายการแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Khon, masked dance drama in Thailand” ซึ่งเป็นการยอมรับในคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
โขนมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นการแสดงที่รวมศาสตร์และศิลป์หลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งการฟ้อนรำ การขับร้อง ดนตรี วรรณคดี จิตรกรรม ประติมากรรม หัตถศิลป์ และนาฏศิลป์ ที่มีความประณีตงดงามและมีแบบแผนเฉพาะตัว โดยตัวละครจะสวมหัวโขนที่มีความวิจิตรบรรจง สะท้อนถึงฝีมือช่างชั้นสูงของไทย
สาระสำคัญของการแสดงโขนมักนำเรื่องราวจากรามเกียรติ์มาถ่ายทอด ซึ่งมีต้นกำเนิดจากมหากาพย์รามายณะของอินเดีย แต่ได้ผ่านการดัดแปลงให้เข้ากับบริบทสังคมและวัฒนธรรมไทย จนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากประเทศอื่น โดยผ่านตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์ของความดี ความชั่ว ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ เป็นสื่อเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกคติธรรมต่างๆ สู่ผู้ชม
ปัจจุบัน โขนไม่เพียงแต่เป็นมหรสพหลวงเท่านั้น แต่ยังได้รับการสืบสานและเผยแพร่สู่สาธารณชนในวงกว้าง มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่านี้ให้คงอยู่คู่สังคมไทยสืบไป
2. นวดไทย: ศาสตร์แห่งการบำบัดและดูแลสุขภาพ
นวดไทยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ กรุงโบโกตา สาธารณรัฐโคลอมเบีย โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “นวดไทย” (Nuad Thai)
นวดไทยเป็นศาสตร์การแพทย์แผนไทยโบราณที่มีประวัติยาวนาน มีบันทึกหลักฐานปรากฏในจารึกวัดโพธิ์และมีการกล่าวถึงในเอกสารทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในการดูแลสุขภาพ ที่ผสมผสานความรู้เรื่องกายวิภาคศาสตร์ เส้นประธาน และจุดบำบัดต่างๆ ในร่างกาย
การนวดไทยถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยที่มีการสืบสานมาแต่โบราณกาล และในเชิงโครงสร้างมีการจัดตั้งกรมหมอนวดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา จวบจนถึงปัจจุบันที่ได้มีการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้แห่งศาสตร์แขนงนี้อย่างหลากหลาย และเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ปัจจุบัน การนวดไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะศาสตร์แห่งการบำบัดและส่งเสริมสุขภาพที่เป็นองค์รวม ตั้งแต่การนวดพื้นบ้านในชุมชน การนวดเพื่อส่งเสริมสุขภาพในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงการนวดเพื่อการบำบัดรักษาในสถานพยาบาลต่างๆ กลายเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่สำคัญของประเทศไทย
3. โนรา: ศิลปะการแสดงพื้นบ้านแห่งดินแดนใต้
โนราได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ที่บางครั้งเรียกว่า มโนรา มโนห์รา หรือมโนราห์ ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานหลายร้อยปี
โนราเป็นการแสดงที่มีแบบแผนในการร่ายรำและขับร้องที่งดงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ผู้แสดงโนราต้องสวมเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยลูกปัดหลากสี สวมปีกหางคล้ายนก เทริดทรงสูง และต่อเล็บยาวที่ทำด้วยโลหะ ซึ่งมีความวิจิตรงดงาม แสดงถึงฝีมือช่างศิลป์พื้นบ้านของภาคใต้
ผู้แสดงโนราต้องมีความสามารถในหลายด้าน ทั้งการร่ายรำที่อ่อนช้อยสวยงาม การขับร้องบทกลอนที่ไพเราะ การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง แววตา และมีปฏิภาณไหวพริบในการแสดง การด้นสดที่ส่วนใหญ่จะเป็นมุขตลกเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม ซึ่งทักษะเหล่านี้จำเป็นต้องฝึกฝนกันตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะท่ารำตัวอ่อน หรือโนราตัวอ่อน ถือเป็นหนึ่งในเสน่ห์อันน่าทึ่งของโนรา
นอกจากเป็นศิลปะการแสดงเพื่อความบันเทิงแล้ว โนรายังมีมิติทางความเชื่อและพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีครอบเทริดและพิธีไหว้ครูโนรา ที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อครูบาอาจารย์และบรรพบุรุษ สะท้อนค่านิยมของสังคมไทยในเรื่องความกตัญญูกตเวที
4. สงกรานต์: เทศกาลปีใหม่ไทยแห่งสายน้ำและความสุข
สงกรานต์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ณ เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Songkran in Thailand, Traditional Thai New Year Festival”
สงกรานต์เป็นประเพณีสำคัญของไทยที่จัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝน และยังเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินโบราณของไทย เป็นเทศกาลที่มีคุณค่าในการอนุรักษ์และควรค่าแก่การเผยแพร่ให้ประชาคมโลกได้รับรู้
กิจกรรมสำคัญในเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่ การทำบุญตักบาตร การสรงน้ำพระพุทธรูป การรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ การสาดน้ำเล่นสนุกสนาน การก่อเจดีย์ทราย และการปล่อยนกปล่อยปลา ซึ่งแต่ละกิจกรรมล้วนแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ทั้งการชำระล้างสิ่งเก่า การเริ่มต้นใหม่ การแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส และการเอื้อเฟื้อต่อชีวิตอื่น
น้ำเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสงกรานต์ ซึ่งสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่ การใช้น้ำในพิธีกรรมต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างวิถีชีวิตไทยกับธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเกษตรกรรมแต่โบราณ
ปัจจุบัน สงกรานต์ไม่เพียงแต่เป็นเทศกาลสำคัญของชาวไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก จนกลายเป็นหนึ่งในเทศกาลประจำชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก
5. ต้มยำกุ้ง: จากอาหารพื้นบ้านสู่รสชาติระดับโลก
ต้มยำกุ้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติล่าสุด ประจำปี พ.ศ. 2567 ณ กรุงอะซุนซิออง สาธารณรัฐปารากวัย นับเป็นรายการที่ 5 ของประเทศไทย
ต้มยำกุ้งเป็นอาหารไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก และเป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่มีต้นกำเนิดจากภูมิปัญญาและวิถีปฏิบัติอันประณีตของชุมชนริมน้ำในภาคกลางของไทย ชื่อ “ต้มยำกุ้ง” เกิดจากการนำคำ 3 คำมารวมกัน ได้แก่ ต้ม-ยำ และ กุ้ง ซึ่งหมายถึงกระบวนการทำอาหารที่นำเนื้อสัตว์ คือ กุ้ง ต้มลงในน้ำเดือดที่มีสมุนไพรซึ่งปลูกไว้กินเองในครัวเรือน เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และปรุงรสจัดจ้านแบบยำ
เสน่ห์ของต้มยำกุ้งอยู่ที่ความลงตัวของรสชาติอันหลากหลาย ทั้งรสเปรี้ยวนำจากมะนาว รสเค็มจากเกลือหรือน้ำปลา รสเผ็ดจากพริก รสหวานจากเนื้อกุ้ง และรสขมเล็กน้อยจากสมุนไพร ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาในการปรุงอาหารของคนไทยที่มุ่งเน้นความสมดุลของรสชาติ
นอกจากนี้ ต้มยำกุ้งยังสะท้อนถึงความเข้าใจในการใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องร่วมกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ทั้งการใช้สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การเพาะเลี้ยงกุ้งน้ำจืด การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ดิน และอากาศ การคัดเลือกและเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และท้ายสุดคือศิลปะการปรุงอาหารไทยที่ผสมผสานรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการอย่างลงตัว
ก่อนหน้านี้ ต้มยำกุ้งได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ปี พ.ศ. 2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภทอาหารและโภชนาการ ด้วยเพราะต้มยำกุ้งเป็นมรดกภูมิปัญญาที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยที่มีความเรียบง่าย มีสุขภาวะทั้งกายและใจที่แข็งแรง และรู้จักการพึ่งพาตนเองด้วยวิธีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
บทสรุป
มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ทั้ง 5 รายการของประเทศไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชาวไทยที่สืบทอดมาแต่โบราณ ทั้งศิลปะการแสดง ศาสตร์การบำบัดรักษา ประเพณีพิธีกรรม และศิลปะการปรุงอาหาร
การได้รับการยอมรับในระดับนานาชาตินี้ไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ให้ดำรงอยู่คู่สังคมไทยสืบไป อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ซึ่งนับเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประเทศไทยอีกด้วย